อัปเดต : 01/02/2021
โดย sakkarin

วิธีสร้างเว็บขายของออนไลน์ แบบละเอียด 2021

ในบทความนี้เราจะมาสอน วิธีสร้างเว็บขายของออนไลน์ แบบละเอียดทุกขั้นตอน คุณไม่ต้องมีความรู้อะไรเลยเริ่มต้นจาก 0 ก็สามารถทำตามได้ทันที

ทำไมคุณควรทำเว็บขายของออนไลน์ ?

เพราะปัจจุบันมีคนไทย 34.80 ล้านคน ซื้อของออนไลน์ (อ้างอิงข้อมูลจาก hootsuite ในปี 2020)

มันเยอะแค่ไหน?

ลองเทียบกับจำนวนคนไทย 69 ล้านคน นั่นมันก็เท่ากับว่าคนครึ่งประเทศคือคนที่คุณมีโอกาสขายของให้กับพวกเขาได้ นี่ยังไม่รวมต่างชาติที่เราก็สามารถขายสินค้าต่างๆให้เขาได้เช่นกัน เพราะในปัจจุบันมีบริการขนส่งสินค้าไปต่างประเทศแล้ว

จำนวนคนไทยที่เคยซื้อของออนไลน์ 1

สารบัญ

กดเลือกหัวข้อเพื่อข้ามไปอ่านได้ทันที

ขั้นตอนที่ 1

จดโดเมน 4

จดโดเมน (Domain)

ขั้นตอนที่ 3

เชื่อมโดเมนกับโฮสติ้ง

เชื่อม Domain กับ Hosting

ขั้นตอนที่ 4

SSL

ติดตั้ง SSL

ขั้นตอนที่ 5

การตั้งค่า WordPress ที่แนะนำให้ทำ

ตั้งค่าเว็บไซต์

ขั้นตอนที่ 8

อัพเกรด hosting 1

อัปเกรด (Hosting)

หากคุณชอบดูเป็นคลิปกดดูได้เลยที่นี่ครับ (เนื้อหาบางอย่างในคลิปจะไม่มีในบทความนี้ ดังนั้นแนะนำให้อ่านบทความด้วยนะครับ)

ขั้นตอนที่ 1

จดโดเมน (Domain)

จดโดเมน 4

สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือการจด Domain เพื่อใช้มันเป็นที่อยู่ของเว็บไซต์ของเรานั่นเอง

ตัวอย่างเช่นโดเมนที่คุณน่าจะรู้จัก: google.com นี่แหละที่เรียกว่าโดเมน

โดเมน (Domain) คืออะไร

โดนเมน (หรือ Domain) คือที่อยู่ของเว็บไซต์ของเราที่ให้ผู้คนสามารถค้นหาและเจอเว็บของเราได้ ประกอบด้วยชื่อโดเมนและนามสกุลโดเมน

เช่น google.com ชื่อโดเมนคือ google นามสกุลโดเมนคือ .com

วิธีการจดโดเมน

1. ตั้งชื่อโดเมน

เราสามารถตั้งชื่อโดเมนว่าอะไรก็ได้ตามต้องการ แต่นี่คือคำแนะนำในการตั้ง

การตั้งชื่อโดเมนที่ดี
  • สั้นเข้าไว้ เพราะช่วยให้ผู้คนจดจำได้ง่าย
  • เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณทำ เช่น หากคุณทำเว็บขายของเกี่ยวกับสุนัขก็อาจจะใส่คำว่า dog ลงไปในโดเมนด้วย
  • ไม่มีตัวเลขและขัดคั่นกลาง เพราะจะทำให้ผู้คนเกิดความสับสนเวลาจะพิมพ์โดเมนเพื่อเข้าเว็บของคุณได้
  • ไม่ใช้ภาษาไทย หากใช้ภาษาไทยเวลาคุณคัดลอกโดเมนของคุณไปส่งให้คนอื่นมันแปลงให้กลายเป็นรูปแบบภาษาแปลกๆที่ยาวไม่สวยงามและไม่มีใครจดจำได้แน่นอน
  • ใช้นามสกุลโดเมนที่นิยม การใช้นามสกุลโดนเมนที่นิยมช่วยให้ผู้คนจดจำเว็บของคุณได้ง่าย ที่แนะนำมากที่สุดคือ .com รองลงมาคือ .net และ .org

2. ไปที่ผู้ให้บริการจดโดเมน

มีผู้ให้บริการมากมายในการจดโดเมน เราควรเลือกผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพ และราคาถูก

ซึ่งไม่ต้องกังวลผมได้ทำการเปรียบเทียบผู้ให้บริการจดโดเมนจำนวนหลายเจ้าและนี่คือผู้ให้บริการที่ดีที่สุดแล้ว

สำหรับผู้ให้บริการจดโดเมนที่ผมแนะนำที่สุดชื่อว่า Namecheap เพราะเป็นผู้ให้บริการโดเมนที่มีชื่อเสียง ราคาถูก และแถมบริการ WhoisGuard ให้ฟรี

WhoisGuard คืออะไร ?

WhoisGuard คือบริการที่ปกป้องข้อมูลเว็บไซต์ของคุณ ไม่ให้คนอื่นสามารถนำชื่อโดเมนของคุณไปค้นหาเพื่อดูข้อมูลต่างๆ เช่น ชื่อ-นามสกุล อีเมล เบอร์โทร ผ่านทางเว็บ https://who.is/ ได้

หากคุณจดโดเมนกับเจ้าอื่นที่ไม่ใช่ Namecheap จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 300-400 บาทอีกในภายหลัง

ซึ่งหากคุณจดกับ Namecheap จะเสียค่าจดโดเมนแค่ 280 บาทต่อปี ก็ได้ทั้งโดเมนและบริการ WhoisGuard ฟรีในตัว

คุ้มสุดๆไปเลย นั่นแหละผมจึงแนะนำเจ้านี้ให้คุณ

จากนั้นกดที่ Domains

จดโดเมนกับ namecheap

3. ใส่ชื่อโดเมนที่ต้องการ

ให้คุณพิมพ์ชื่อโดนเมนที่ต้องการลงในช่องค้นหา จากนั้นกด Search

ชื่อโดเมนที่ต้องการ

หากชื่อโดนเมนไม่มีคนตั้งก็จะขึ้นกาถูกสีเขียว (หากขึ้นกากบาทแปลว่ามีคนใช้แล้วให้คิดชื่อโดเมนใหม่)

คุณสามารถเลือกนามสกุลโดเมนได้ แต่ถ้าให้ผมแนะนำควรเลือก .com

จากนั้นให้คุณกด Add to cart

โดเมนใช้งานได้

และกด Checkout

checkout โดเมนกับ namecheap

4. เลือกอายุโดเมน

เราต้องทำการเลือกอายุโดเมนที่เราต้องการจดว่าจะจดกี่ปี

เพราะการจดโดเมนเราจะไม่ได้ถาวร เราต้องเสียค่าบริการเป็นรายปีที่ราคา 9.06$ต่อปี หรือประมาณ 280บาทต่อปี

  • Domain Registration

กดเลือก 1 Years และเปิด AUTO-RENEW

  • WhoisGuard

กด ENABLE และเปิด AUTO-RENEW

(AUTO-RENEW คือการต่ออายุอัตโนมัติเมื่อถึงกำหนด 1 ปี ดีกว่าการชำระล่วงหน้าทีเดียวหลายๆปี)

จากนั้นกด Confirm Order

ตั้งค่าการชำระเงินเว็บ namecheap

5. สร้าง Account

ต่อไปเราก็ต้องทำกรอกข้อมูลเพื่อใช้ในการจด domain และสมัครสมาชิก Namecheap

ก็ให้เรากรอกข้อไปต่อไปนี้ให้ครบทุกช่อง จากนั้นกด Create Account and Continue

สร้าง account namecheap

เมื่อมาหน้านี้ให้กด Continue

กรอกรายละเอียดสมัครโดเมน

จากนั้นระบบจะแจ้งให้เรากรอกข้อมูลที่สำคัญๆต่างๆ ข้อสังเกตคือเราต้องกรอกข้อมูลในช่องที่มีคำว่า REQUIRED

ก็ให้คุณกรอกข้อมูลให้ครบทุกช่อง

กรอกรายละเอียดโดเมนต่อ

ที่คุณอาจจะกรอกไม่เป็นคือช่อง Phone Number ให้เลือก +66 ตามด้วยเบอร์ของคุณโดยตัดเลข 0 ออก

หลังกรอกครบทุกช่องกด Continue

กรอกเบอร์โทร
กรอกเบอร์โทร

ระบบจะสรุปข้อมูลต่างๆให้ตรวจสอบความถูกต้องให้เรากด Continue

กดปุ่ม continueอีกที

6. กรอกบัตรเครดิต

เราต้องทำการกรอกบัตรเครติดเพื่อชำระเงินค่าโดเมน

หากคุณไม่มีบัตรเครดิตบางทีบัตร ATM ก็ใช้หากให้คุณไปดูหากบัตรคุณมีเครื่องหมาย VISA หรือ MasterCard ก็ใช้ได้เช่นกัน

ก็ให้คุณนำข้อมูลของบัตรมากรอก ได้แก่ชื่อ และ หมายเลขบัตร

จากนั้นกด Continue

12

ระบบจะสรุปรายการให้ดูอีกทีให้เรากด Pay Now เพื่อชำระเงิน

จ่ายเงินค่าโดเมน

เท่านี้คุณก็จดโดเมนเสร็จแล้ว

ขั้นตอนที่ 2

เช่าโฮสติ้งและติดตั้ง WordPress

เช่าโฮสติ้ง 4

Hosting คือสิ่งจำเป็นอันดับสองในการสร้างเว็บไซต์ที่ไม่มีไม่ได้ในหัวข้อนี้เราจะไปทำความรู้จักมันว่าคืออะไร และจะสอนวิธีการใช้แบบละเอียดด้วย

จากนั้นเราก็ต้องทำการติดตั้ง WordPress ลงไปใน Hosting ของเรา ซึ่งผมจะพูดถึงแบบละเอียดในด้านล่างนี้เช่นกัน

โฮสติ้ง (Hosting) คืออะไร

โฮสติ้ง (หรือ Hosting) คือบริการในการเก็บไฟล์หรือข้อมูลต่างๆ เช่น รูปภาพ ตัวอักษร หรือหน้าเว็บสินค้าต่างๆทั้งหมดของเราลงบนคอมพิวเตอร์พิเศษที่เรียกว่าเซิร์ฟเวอร์

เมื่อผู้ใช้งานต้องการดูเว็บไซต์ของเรา เขาก็พิมพ์ชื่อโดเมนเว็บของเราลงในเบราว์เซอร์ (เช่น Google chome) จากนั้นคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานก็จะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์หรือ hosting ของคุณที่เช่าไว้ และหน้าเว็บก็จะถูกส่งให้พวกเข้าได้เห็นนั่นเอง

WordPress คืออะไร

WordPress (หรือเวิร์ดเพรสส์) เป็นระบบการจัดการเนื้อหาเว็บไซต์ที่เรียกว่า Content Management System (หรือ CMS) ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยมีเว็บไซต์มากกว่า 36.2% บนโลกอินเทอร์เน็ตใช้ WordPress ในการสร้าง

และที่สำคัญคือทุกคนสามารถใช้หรือแก้ไขซอฟต์แวร์ WordPress ได้ฟรี โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้อะไรเกี่ยวกับโค้ดหรือการเขียนโปรแกรมเลย

วิธีเช่าโฮสติ้ง (Hosting) และติดตั้ง WordPress

เช่นเดียวกับการจดโดเมนโฮสติ้งนั้นมีให้เราเลือกใช้ได้มากมายหลากหลายผู้ให้บริการ เราจึงควรเลือกเจ้าที่มีชื่อเสียง น่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพ

เพราะการเลือก hosting ที่ราคาถูกแต่ไร้คุณภาพคุณจะต้องเสียใจภายหลังเพราะจะเจอปัญหาต่างๆมากมาย เช่น เว็บช้า เว็บล่ม เว็บโดนไวรัสมัลแวร์

ดังนั้นผมจึงได้คัดเลือก hosting ที่ดีและมีชื่อเสียงมากๆแถมยังราคาไม่แพงมาให้คุณ ก็คือผู้ให้บริการโฮสติ้งที่ชื่อว่า Cloudways

ทำไมจึงแนะนำ Cloudways ?

  • ฟรี SSL
  • ความรวดเร็วของเว็บไซต์
  • ติดตั้งเว็บได้ไม่จำกัด
  • มีความเสถียรเว็บไม่ล่ม
  • มีชื่อเสียงมากๆ
  • ให้พื้นที่เก็บข้อมูลเยอะ
  • รับจำนวนคนเข้าเว็บได้เยอะมาก (หลักหมื่นคนต่อวันยังไหว)

ดังนั้นอย่ารอช้าไปดูวิธีการกันเลย

1. ไปที่ผู้ให้บริการเช่า Hosting

เมื่อเข้าแล้วให้กด START FREE

hosting ฟรี

2. สมัครและทดลองใช้ฟรี

เราสามารถทดลองใช้ Hosting กับ Cloudways ได้ฟรี 3 วัน

ให้คุณกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนต่อไปนี้

กรอกรายละเอียดเพื่อเช่า hosting
  • Fist name : กรอกชื่อจริง
  • Last Name : กรอกนามสกุล
  • Email : กรอกอีเมล
  • Password : ตั้งรหัสผ่าน
  • I would best describe myself as : กดเลือกว่าท่านเช่าโฮสติ้งเพื่อทำอะไร
  • My monthy hosting spending is : กดเลือกว่าเรามีค่าใช้จ่ายในการเช่า hosting เดือนละกี่ดอลลาร์ (ไม่มีผลกับค่าใช้จ่ายเลือกอะไรก็ได้)
  • Got a promo Code ? : ใส่รหัสส่วนลด

พิเศษแจกคูปองส่วนลดใช้ฟรี 3 เดือน !! (มูลค่ากว่า 900บาท) ในช่อง Got a promo Code กรอก : HA30

3 1

ถ้าขึ้นเครื่องหมายกาถูกแบบนี้แสดงว่าโค้ดใช้งานได้ (ดูการอัพเกรดเพื่อใช้งานฟรีแบบละเอียดได้ที่ขั้นตอนที่ 8)

  • I agree to the Cloudways : กดติ้งตกลง ในช่องสี่เหลี่ยม
  • สุดท้ายกด START FREE

3. ยืนยันอีเมล

เมื่อเรามาหน้านี้กด START NOW จากนั้นเว็บจะแจ้งให้เราไปยืนยันอีเมลก่อน

ยืนยันอีเมล

ก็ให้เราเข้าไปยังอีเมลที่ใช้สมัคร จากนั้นจะเจออีเมลแบบนี้ส่งมา ให้เรากด Activate Account

5อีกเมล

4. เลือกแพ็คเกจและติดตั้ง WordPress

ต่อไปเราก็ต้องเลือกแพ็คเกจ hosting และติดตั้ง WordPress ให้คุณตั้งค่าตามนี้

  1. WordPress : ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรให้เป็นค่าเริ่มต้น
  2. Name Your Managed App : ตั้งชื่อแอพแนะนำตั้งตามชื่อโดเมนของคุณ เช่น mustketing.com
  3. Name Your Managed server : ตั้งชื่อเซิร์ฟเวอร์ ตั้งอะไรไปก็ได้ผมไม่ตั้ง
  4. Name Your Managed Project : ตั้งชื่อโปรเจกต์ ตั้งอะไรไปก็ได้ผมไม่ตั้ง
  5. เลือก DigitalOcean
  6. Server Size : 10 GB
  7. Location : Singapore

สุดท้ายกด LAUNCH NOW

5 hosting ตั้งค่า

5 hosting ตั้งค่าจากนั้นระบบจะบอกให้เรารอประมาณ 7 นาทีเพื่อติดตั้ง Server

6 รอติดตั้ง โฮสติ้ง

เมื่อครบ 7 นาทีก็มาทำขั้นต่อไปกันเลย

ขั้นตอนที่ 3

เชื่อม Domain กับ Hosting

เชื่อมโดเมนกับโฮสติ้ง

โดเมนกับโฮสติ้งต้องทำงานร่วมกันจึงจะทำให้เว็บของเราใช้งานได้ เราจึงจะต้องเชื่อมต่อมันเข้าด้วยกัน ซึ่งผมจะมาสอนในหัวข้อนี้แบบง่ายๆทำตามได้เลย

1. ไปยังผู้ให้บริการจดโดเมน

ให้เข้าไปที่เว็บ NameCheap

จากนั้นกดไปที่ Account

เว็บจดโดเมน

2. ยืนยันอีเมล

กดไปที่ Domain List

กด VERIFY CONTACTS

12 1

จากนั้นเข้าไปที่กล่องอีเมลของคุณ

จะเจออีเมลแบบนี้ ให้กด Click here to verify your email address

13 1

3. ตั้งค่าโดเมน

จากนั้นให้กลับมาที่ Namecheap อีกที

หลังจากกดยืนยันในอีเมลไปแล้วแต่ยังขึ้น ALERT อยู่ก็ไม่ต้องตกใจ รอให้ระบบยืนยันให้ภายหลัง ทำสิ่งต่อไปได้เลย

ให้คุณกดไปที่ปุ่มตามลูกศรสีแดงด้านล่าง จากนั้นกด Manage

manage domain

แล้วกด Advance DNS

advanc dns

ให้กดรูปถังขยะเพื่อทุกอย่างที่มีออกให้หมด

ลบ dns

กด ADD NEW RECORD และเลือก A Record

17

ในช่อง host ใส่ @ ช่อง TTL เลือก Automatic

ส่วนช่อง Value เอาค่ามาจาก hosting ซึ่งมีสอนต่อด้านล่าง

a record ตั้งค่า

4. นำ public ip มากรอกในช่อง Value

ตอนนี้เราต้องเอาตัวเลขจาก Hosting มากรอกลงในช่อง Value

ให้ท่านไปที่เว็บ Cloudways.com แล้วทำการ Login เข้าสู่ระบบให้เรียบร้อย

จากนั้นกดไปที่ www ตามรูปด้านล่าง

www

กดเลือก applications โดยชื่อจะเป็นตามที่ท่านเคยตั้งไว้ตอนสมัคร cloudways

application cloudways

เมื่อเข้ามาหน้านี้ ให้กดคัดลอก Public IP ไว้

public ip address

จากนั้นนำกลับไปที่เว็บ Namecheap

นำ Public IP วางในช่อง Value

a record ตั้งค่า

5. เพิ่ม Cname record

กดปุ่ม ADD NEW RECORD แล้วเลือก CNAME Record

cname record ตั้งค่า
  • ในช่อง Host กรอก : www
  • ในช่อง Value กรอก : ชื่อโดนเมนของคุณ เช่น Google.com
  • ในช่อง TTL เลือก : Automatic

จากนั้นกดปุ่มกาถูกสีเขียว

cname record การใช้

6. เปลี่ยน primary domain

  • ไปที่เว็บ cloudways.com
  • ไปที่เมนู Domain Manegement
  • ในช่อง PRIMARY DOMAIN : กรอกชื่อโดเมนของเราที่จดไว้ลงไป เช่น reviewnine.com
  • จากนั้นกด SAVE CHANGES
เปลี่ยน primary domain

หลังจากนั้นกด F5 หรือรีเฟรชหน้าเว็บ ระบบก็จะแจ้งให้เรารออัปเดตโดเมน

25

หลังจอรอสักพักก็จะเจอแบบนี้ ก็ให้เรากดไปที่ www ที่มีวงกลมส้มๆ

www

แล้วกดเลือก โดเมนของเรา

application cloudways

7. เชื่อมต่อสำเร็จ

ยินดีด้วยคุณติดตั้งเว็บเสร็จแล้ว

ไปที่ ADMIN PANEL แล้วกดไปที่ URL

admin panel

ก็จะเจอหน้า login เพื่อเข้าไปแก้ไขปรับแต่งเว็บได้ตามต้องการ

ก็ให้ไปคัดลอก Username และ Password จากหัวข้อ ADMIN PANEL เพื่อเข้าไปแก้ไขเว็บได้เลย

27

นี้คือหน้าตาตอนเรา login เพื่อเข้ามาแก้ไขเว็บ มีเมนูต่างๆให้เราใช้มากมายซึ่งผมจะสอนในขั้นต่อไป

หน้าตา dashboard wordpress

ขั้นตอนที่ 4

ติดตั้ง SSL

SSL

SSL ช่วยให้เว็บของเรามีความปลอดภัยในการส่งข้อมูลมากขึ้น ยิ่งเป็นเว็บขายของออนไลน์จำเป็นต้องมีอย่างยิ่ง เพื่อช่วยปกป้องเข้ารหัสและปกป้องข้อมูลสำคัญๆ เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร หมายเลขบัตรเครดิต

SSL คืออะไร

37

SSL ย่อมาจาก Secure Sockets Layer เป็นเทคโนโลยีในการรักษาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตให้ปลอดภัยและปกป้องข้อมูลสำคัญต่างๆที่ถูกส่งระหว่างสองระบบจากการอ่านและแก้ไขข้อมูล  เช่น หมายเลขบัตรเครดิต ชื่อ ที่อยู่ และอื่นๆ โดยการเข้ารหัสระหว่างเว็บเซิร์ฟเวอร์และเบราว์เซอร์

วิธีติดตั้ง SSL Certificate ฟรี

หากคุณใช้โฮสติ้งกับ cloudways.com ก็สามารถติดตั้ง SSL ได้ฟรีโดยการกดไม่กี่คลิก แต่หากท่านใช้ hosting กับเจ้าอื่นอาจต้องเสียเงินเพิ่มค่า SSL ตั้งแต่ 300-10,000 บาทต่อปีครับ

1. เข้าสู่ระบบ cloudways.com

จากนั้นกด Login และกรอกชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และเข้าสู่ระบบให้เรียบร้อย

cloudways hosting login

2. ไปที่ APPLICATIONS ของคุณ

กดไปที่ www

www

กดเลือก APPLICATIONS ตามชื่อที่ท่านตั้งไว้

application cloudways

3. กรอกข้อมูลเพื่อติดตั้ง SSL

หลังจากเข้ามาก็ให้กดตามนี้

  • กดไปที่เมนู SSL Certificate
  • Email Address : ใส่อีเมลของคุณลงไป
  • Domain Name : ใส่โดเมนของเราลงไป เช่น reviewnine.com
  • สุดท้ายกด INSTALL CERTIFICATE

แล้วรอสักพักเพื่อให้ SSL ติดตั้ง

กรอกข้อมูล ติดตั้ง ssl

จากนั้นจะขึ้น ENABLE HTTPS REDIRECTION

ให้เรากด NOT NOW (หากไม่ขึ้นข้ามไปทำขั้นตอนต่อไปเลย)

not enable https redirection

และกด CLOSE

ยกเลิก https redirection

4. ไปที่ Application Settings

ที่หัวข้อ HTTPS REDIRECTION กดติ้กให้เป็น Enable

application settings cloudways

จะขึ้น CONFIRMATION ให้กด YES

36

ยินดีด้วยคุณติดตั้ง ssl certificate เสร็จเรียบร้อย ทำขั้นตอนต่อไปได้เลย

ขั้นตอนที่ 5

ตั้งค่าเว็บไซต์

การตั้งค่า WordPress ที่แนะนำให้ทำ

หลังจากที่เราได้เว็บไซต์มาแล้วเราก็ควรปรับแต่งให้เว็บของเราทำงานได้ดีขึ้น

ซึ่งนี่ก็คือการตั้งค่าต่างๆที่คุณควรทำหลังจากติดตั้งเว็บเสร็จแล้ว

ผมได้เขียนบทความสอนแยกไว้แล้ว กดดูหัวข้อการตั้งค่าต่างๆที่ผมแนะนำได้เลย

  1. เปลี่ยน password ให้เว็บไซต์ wordpress
  2. อัปเดตเวอร์ชันธีม ปลั๊กอิน version เว็บไซต์ wordpress
  3. เปลี่ยน Site Title และ Tagline
  4. เปลี่ยนภาษา Timezone รูปแบบวันที่และเวลา
  5. ตั้งค่าขนาดรูปภาพ
  6. ตั้งค่า Permalink (ลิงค์ถาวร)

ขั้นตอนที่ 6

สร้างร้านขายของออนไลน์

สร้างร้านขายของออนไลน์

นี่ก็คือขั้นตอนที่ทุกคนรอคอยซึ่งผมจะสอนทุกๆอย่างแบบละเอียดไม่ว่าจะเป็น

  • การลบและเพิ่มสินค้า
  • การเปลี่ยนสกุลเงิน
  • การตั้งค่าการชำระเงิน
  • ตัวอย่างการสั่งซื้อ
  • การปรับแต่งหน้าเว็บ

การเพิ่ม Template ร้านค้าขายของออนไลน์ (ecommerce)

เทมเพลต (Template) คือหน้าเว็บตัวอย่างที่สร้างมาให้แล้ว เราสามารถนำมันมาปรับแต่งให้กลายเว็บของเราเองได้ ช่วยประหยัดเวลาในการออกแบบ และช่วยให้มือใหม่มีหน้าเว็บสวยๆ โดยที่ไม่ต้องเคยสร้างเว็บขายของออนไลน์มาก่อนเลยไปที่

1. ไปที่ Appearance → และกดที่ Theme

1 เพิ่้ม theme

2. พิมพ์ในช่องค้นหาว่า astra จากนั้นกด Install แล้วรอสักครู่

2 install astra

3. แล้วกด Activate

3 activate astra

4. ระบบจะแจ้งให้เราติดตั้ง starter templates ให้เรากด Get Started

4 get started astra

5. จะปรากฏหน้า Select Page Buider ให้เรากดเลือก Elementor

5 กดเลือก elementor

6. จากนั้นให้กดที่เมนู All แล้วกดเลือก eCommerce

6 เลือก ecommerce template

7. กดที่เมนู eCommerce แล้วเลือก Free

7 เลือก template ecommerce ฟรี

8. ทีนี้ก็จะปรากฏเทมเพลตเว็บขายของออนไลน์ให้เราได้เลือกใช้งานได้ฟรี ให้เรากดเข้าไปดูได้เลยว่าชอบเทมเพลตอันไหน

8 เลือกเทมเพลตที่ชอบ

9. เมื่อคุณเลือกเทมเพลตที่ชอบได้แล้วก็กด Import Complete Site

9 import เทมเพลตเว็บขายของออนไลน์

10. กดติ้กถูกในช่อง Delete Previosly Imported Site → จากนั้นกด Import

แล้วรอให้ระบบติดตั้งเทมเพลตให้สักครู่

10 import และลบหน้าเว็บเก่า

11. จากนั้นกด View Site

11 ดูหน้าเว็บที่ติดตั้งเสร็จแล้ว

12. ยินดีด้วยติดตั้งเทมเพลตหน้าเว็บร้านขายของออนไลน์ของคุณสำเร็จแล้ว

ตอนนี้ร้านค้าของคุณมีหน้าเว็บ ได้แก่

  • Home (หน้าแรก)
  • All Products (หน้ารวมสินค้า)
  • About (หน้าเกี่ยวกับเรา)
  • Contact (หน้าติดต่อเรา)
  • Account (หน้าบัญชีผู้ใช้)
12 เรียบร้อยติดตั้งเทมเพลตเว็บขายของออนไลน์สำเร็จ

การลบสินค้า

หลังจากที่เราติดตั้งเทมเพลตให้เว็บก็จะมีสินค้าตัวอย่างมากมายลงขายให้เราดูเป็นตัวอย่าง เราก็ต้องไปลบสินค้านั้นออกให้หมดก่อน

1. เอาเมาส์ไปชี้ที่รูปเข็มไมค์รถตรงมุมซ้ายบน → จากนั้นกด Dashboard

(ต่อจากนี้ไปเราจะสอนแบบที่เป็นเมนูภาษาไทย หากท่านยังไม่เปลี่ยนภาษาไปอ่านหัวข้อการตั้งค่าเว็บไซต์ก่อน)

1 ไปที่ dashboard ของเว็บ

2. กดเลือกเมนู สินค้า → และเลือก สินค้าทั้งหมด

2 กดที่สินค้าทั้งหมด

3. ติ้กกาถูกในช่องสี่เหลี่ยมด้านบนสุดเพื่อเลือกสินค้าทั้งหมด

จากนั้นตรงหัวข้อ Bulk actions → ให้กดเปลี่ยนเป็น ย้ายไปถังขยะ

สุดท้ายกด นำไปใช้

3 ลบสินค้าทิ้ง

4. ต่อมาเราก็ต้องไปลบสินค้าในถังขยะอีกที

กดติ้กที่ช่องสี่เหลี่ยมแบบเดิม

จากนั้นตรงหัวข้อ Bulk actions → ให้กดเปลี่ยนเป็น Delete permanently

สุดท้ายกด นำไปใช้

เรียบร้อยตอนนี้เราลบสินค้าทิ้งหมดแล้ว ต่อไปก็ไปเพิ่มสินค้าของเรากันเลย

4 ลบสินค้าจากถังขยะ

การเพิ่มสินค้า

ทำต่อได้จากการลบสินค้าเลย

1. เริ่มแรกให้กดไปที่ เพิ่ม

5 เพิ่มสินค้า

2. จากนั้นทำการ ตั้งชื่อให้สินค้า และ ใส่รายละเอียดสินค้า ตามภาพ

6 เพิ่มชื่อสินค้าและรายละเอียดสินค้า

3. การตั้งราคาสินค้า

ให้เลื่อนลงด้านล่างก็จะเจอกับตัวเลือกในการกำหนดราคาสินค้า

  • ราคาปกติ : คือราคาสินค้าที่ยังไม่ลด
  • ราคาที่ลด : ให้เรากรอกราคาที่ต้องการลดจากราคาปกติ
7 การตั้งราคาสินค้า

4. การใส่คำอธิบายอย่างสั้น

ก่อนหน้านี้เราได้ใส่รายละเอียดสินค้าไปแล้ว แต่จะมีเมนูให้เราเพิ่มคำอธิบายเพิ่มเติมแบบสั้นๆอีกที

8 เพิ่มคำอธิบายอย่างสั้น

ซึ่งนี่ก็คือความแตกต่างระหว่างคำอธิบายอย่างสั้นกับรายละเอียดสินค้า

  • คำอธิบายอย่างสั้น จะแสดงใต้ราคาสินค้า ใช้สำหรับใส่รายละเอียดสั้นๆเกี่ยวกับสินค้า
  • รายละเอียดสินค้า จะอยู่ใต้รูปภาพของสินค้า ใช้สำหรับบอกข้อมูลของสินค้าแบบละเอียด
9 ความแตกต่างระหว่างคำอธิบายอย่างสั้นกับรายละเอียดสินค้า

5. การกำหนดหมวดหมู่ให้สินค้า

ไปที่ หมวดหมู่สินค้า → กด+เพิ่มหมวดหมู่ → พิมพ์ชื่อหมวดหมู่ตามต้องการ → กดเพิ่มหมวดหมู่

การกำหนดหมวดหมู่ของสินค้าช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าไปดูในหน้าหมวดหมู่สินค้าที่เขาสนใจได้ทีเดียวทุกๆชิ้นในหมวดหมู่เดียวกัน

เช่น หากคุณขายเสื้อสีส้มก็ให้คุณสร้างหมวดหมู่ เสื้อ

ต่อไปเวลาคุณเพิ่มเสื้ออื่นๆก็มากดเลือกหมวดหมู่เสื้อ สินค้าทั้งหมดที่เป็นเสื้อก็จะไปรวมอยู่ในหน้าเว็บเดียวกันทำให้แยกสินค้าที่จะขายได้และลูกค้าเลือกซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น

10 การเพิ่มหมวดหมู่สินค้า

6. การใส่รูปภาพสินค้า

ให้คุณเลื่อนลงด้านล่างก็จะเจอเมนูสำหรับกำหนดรูปภาพให้สินค้าซึ่งจะมี 2 แบบคือ

  • รูปภาพสินค้า : คือรูปที่จะนำไปเป็นปกของสินค้าและจะนำไปแสดงเป็นภาพแรกในหน้าสินค้า
  • แกลลอรี่สินค้า : คือรูปภาพอื่นๆของสินค้าที่จะแสดงให้เห็นในหน้าสินค้า
11 การใส่รูปภาพให้สินค้า woocommerce

7. เผยแพร่สินค้า

หลังจากที่เราทำทุกอย่างข้างต้นเสร็จก็เผยแพร่สินค้าให้คนอื่นเห็นได้เลย

กดที่ Publish

12 เผยแพร่หน้าเว็บขายสินค้า

จากนั้นกด ดูสินค้า เพื่อไปชมหน้าสินค้าของเรา

13 ดูสินค้า

ยอดเยี่ยมเพิ่มสินค้าเสร็จแล้วนี่คือตัวอย่างหน้าเว็บสินค้าของเรา

14 ตัวอย่างหน้าเว็บขายของออนไลน์หลังจากลงสินค้า 2

วิธีเปลี่ยนสกุลเงิน

หากคุณสังเกตภาพหน้าเว็บที่เราเพิ่มสินค้าเสร็จแล้วด้านบน สกุลเงินมันยังไม่เป็นบาทไทยเราก็ต้องไปเปลี่ยนมัน

1. เอาเมาส์ไปชี้ที่รูปเข็มไมค์รถตรงมุมซ้ายบน → แล้วกด หน้าควบคุม

1 ไปที่หน้าควบคุม

2. ไปที่เมนู Woocommerce

  • จากนั้นกดที่ การตั้งค่า
  • เลื่อนไปหาเมนูสกุลเงินเปลี่ยนให้เป็น บาท ไทย (฿)
  • ตำแหน่งของสกุลเงินกดเลือก ขวา
  • สุดท้ายกด บันทึกการเปลี่ยนแปลง
2 เปลี่ยนสกุลเงินร้านค้าออนไลน์

กลับไปที่หน้าเว็บของสินค้าของเราแล้วกดรีเฟรชก็จะเห็นว่าสกุลเงินได้เปลี่ยนเป็นบาทและสลับตำแหน่งไปอยู่ฝั่งขวาตามที่เราตั้งค่าแล้ว

3 ตัวอย่างหลังจากเปลี่ยนสกุลเงิน

วิธีเพิ่มช่องทางชำระเงิน

ตอนนี้ลูกค้ายังไม่สามารถซื้อสินค้าในเว็บของเราได้เนื่องจากเรายังไม่เพิ่มช่องทางในการชำระเงิน ดังนั้นให้เราไปเพิ่มก่อนทำดังนี้

ให้ไปที่ dashboard

1. จากนั้นเลือก WooCommerce → และกดที่ การตั้งค่า

ทีนี้ให้เราเลือกว่าจะเปิดช่องทางในการชำระเงินรูปแบบไหนบ้างซึ่งมันมีให้เลือก ได้แก่

  • โอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร
  • ชำระด้วยเช็คธนาคาร
  • ชำระเงินปลายทาง
  • PayPal Standard

คุณจะเปิดอันไหนไว้ก็ได้หรือเปิดทั้งหมดก็ได้เวลาจ่ายเงินลูกค้าก็จะกดเลือกช่องทางที่เขาสะดวกเอง

ซึ่งผมจะยกตัวอย่างการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารให้ดู

ไปที่หัวข้อ โอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร → กดติ้กเปิดใช้งาน → กดติดตั้ง

1 เปิดช่องทางการชำระเงินทางบัญชีธนาคาร

2. การตั้งค่าโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร

  • หัวเรื่อง : ปล่อยให้เป็นค่าเริ่มต้น
  • รายละเอียด : ปล่อยให้เป็นค่าเริ่มต้น
  • ขั้นตอน : ใส่ช่องทางในการแจ้งโอนเงิน (ตัวอย่างของผมใส่ → กรุณาส่งหลักฐานการโอนเงินทาง LINE : https://line.me/R/ti/p/%40ojo7606k / หรือโทร 0965474147)
  • รายละเอียดบัญชี : กรอกชื่อบัญชี หมายเลขบัญชี และชื่อธนาคารของคุณ
  • สุดท้ายกดบันทึกการเปลี่ยนแปลง
2 กรอกขั้นตอนการแจ้งโอนเงินและบัญชีธนาคาร

ทดสอบการสั่งซื้อสินค้า

ตอนนี้เราทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้วลูกค้าสามารถซื้อของในเว็บของเราได้แล้ว แต่เราก็ต้องลองทดสอบระบบในการสั่งซื้อดูก่อนว่าใช้งานได้หรือไม่

1. ไปที่เมนูรูปบ้านมุมซ้ายบนแล้วกด เยี่ยมชมเว็บไซต์

1 เยี่ยมชมเว็บไซต์ขายของ

กดที่ All Product และกดไปที่สินค้าของคุณอันไหนก็ได้

2 ไปที่ all products

คัดลอก URL ของหน้าเว็บสินค้าของคุณไว้

3 คัดลอก url สินค้า

ไปที่มุมจุดสามจุดมุมขวา (ของเบราเซอร์ google chome) จากนั้นกด หน้าต่างใหม่และไม่ระบุตัวตน

เหตุผลที่ต้องทำแบบนี้เพราะว่าตอนนี้คุณเปิดแอดมินเว็บอยู่หากกดสั่งซื้อมันก็จะซื้อในฐานะแอดมิน คุณอาจเปิดเว็บของคุณในมือถือเพื่อทดสอบแทนก็ได้

4 เปิดหน้าต่า

นำ Url ของเว็บมาวาง (สังเกตมุมขวาจะบอกว่าเราอยู่ในโหมดไม่ระบุตัวตน)

5 วาง url สินค้า

กด หยิบใส่ตะกร้า

7 กดหยิบใส่ตะกร้า

และกด ดูตะกร้าสินค้า

6 กดดูตะกร้าสินค้า

กด สั่งซื้อและชำระเงิน

8 กดสั่งซื้อและชำระเงิน

ให้ลองกรอกข้อมูลเพื่อทดสอบสั่งซื้อสินค้าดูจากนั้นกด สั่งซื้อ

9 กรอกข้อมูลและกดสั่งซื้อสินค้า

สั่งซื้อเรียบร้อยระบบจะแจ้ง

  • รายละเอียดและราคาที่ต้องโอน
  • เลขบัญชีในการโอนเงิน
  • ช่องทางแจ้งโอนเงิน

แบบนี้ถือได้ว่าเว็บขายของออนไลน์ของเราทำงานได้ดีแล้ว ต่อไปเราก็ต้องเข้าไปดูในอีเมลของแอดมินเว็บและของคุณสั่งซื้อดูว่าได้รับอีเมลแจ้งเตือนหรือไม่

10 ช่องทางในการโอนเงินและการแจ้งโอนเงิน

นี่คืออีเมลแอดมินเว็บของผมได้รับแจ้งเตือนคำสั่งซื้อเรียบร้อย มีรายละเอียดบอกหมดตั้งแต่ซื้อสินค้าอะไร ลูกค้าชื่ออะไรที่อยู่ที่ไหน เบอร์โทรอะไร เราก็รอให้ลูกค้าแจ้งโอนเงินจากนั้นก็นำที่อยู่นี้ไปส่งสินค้าได้เลย

11 แอดมินเว็บขายของออนไลน์จะได้รับแจ้งเตือนทางอีเมล

และนี่คืออีเมลของลูกค้า (ที่กรอกตอนทดสอบสั่งซื้อ) ก็ได้รับรายละเอียดคำสั่งซื้อ รายละเอียดบัญชีธนาคาร และรายละเอียดการแจ้งโอน

12 ลูกค้าได้รับอีเมลแจ้งเตือนคำสั่งซื้อ

แบบนี้ถือว่าสำเร็จแล้ว เว็บของเรานำไปใช้งานขายของออนไลน์ได้จริงแล้ว

ขั้นตอนที่ 7

วิธีปรับแต่งหน้าเว็บ

ปรับแต่งหน้าเว็บขายของออนไลน์

หลังจากที่เราจัดการกับการเพิ่มสินค้าและระบบจัดซื้อสินค้าเสร็จแล้ว ต่อไปก็เรียนรู้วิธีการปรับแต่งหน้าเว็บของเราให้สวยงามแหละเหมาะสมกับการใช้งานมากขึ้นตามที่เราต้องการ เช่น

  • การเพิ่มรูปภาพ
  • ปรับแต่งตัวอักษร
  • เปลี่ยนเมนู
  • เปลี่ยนโลโก้ให้เว็บ
  • และอื่นๆอีกมากมาย

ต่อไปเราก็ไปปรับแต่งหน้าเว็บของเรากันต่อดีกว่า เพราะตอนนี้หน้าตาเว็บของเรายังเป็นค่าเริ่มต้นตามที่เทมเพลตมีมาให้อยู่เลย

1. ไปที่หน้าเว็บที่เราต้องการแก้ไขเช่นไปที่หน้า Home → จากนั้นกด Edit with Elementor

1 ไปหน้าเว็บที่ต้องการแก้ไข

การแก้ไขตัวอักษร

กดไปยังตัวอักษรที่ต้องการแก้ไข จากนั้นพิมพ์ข้อความลงไปแทนได้เลย หรือพิมพ์ข้อความลงในช่องซ้ายที่เขียนว่า Title ก็ได้

หากอยากเปลี่ยนรูปแบบอักษรเช่น ขนาด สี ความหนา และอื่นๆ ให้ไปที่เมนู Style

2 การเปลี่ยนรูปแบบตัวอักษรบนหน้าเว็บ

การแก้ไขรูปภาพ

ให้คุณกดไปที่รูปภาพที่ต้องการแก้ไข จากนั้นกด Choose image เพื่ออัปโหลดไฟล์รูปภาพที่ต้องการมาแทนที่ได้เลย

Tip : หากอยากปรับแต่งขนาดหรือรูปลักษณ์อื่นๆเช่นใส่กรอบให้ใช้เมนู Style

3 วิธีเปลี่ยนรูปภาพบนหน้าเว็บไซต์

การเปลี่ยนปุ่มกด

กดไปที่ปุ่มกดที่ต้องการแก้ไข จากนั้นตรงเมนูด้านซ้ายที่หัวข้อ Text ให้ใส่ข้อความที่ต้องการลงไป และในช่อง Link ให้ใส่ Url หน้าเว็บที่ต้องการให้ส่งคนไปเวลากด

Tip : หากต้องการปรับแต่งเช่น สี ขนาด ให้กดที่เมนู Style

4 วิธีเปลี่ยนปุ่มกดบนหน้าเว็ฐ

การเปลี่ยนภาพพื้นหลัง

ให้คุณเลื่อนไปยังตำแหน่งที่คุณต้องการเปลี่ยนภาพพื้นหลังจากนั้นเอาเมาส์ไปชี้มันจะปรากฏเมนูสี่เหลี่ยม 6 อันดังภาพ ให้กดคลิก แล้วก็จะปรากฏเมนูที่ใช้ในการปรับแต่งพื้นหลังขึ้นมา ให้เรากด Choose Image เพื่ออัปโหลดภาพลงมาแทนที่รูปปัจจุบัน

5 วิธีเปลี่ยนภาพพื้นหลังบนเว็บ

การเปลี่ยนสีพื้นหลัง

ทำเหมือนกับตอนเปลี่ยนภาพพื้นหลัง แล้วเอาเมาส์ไปชี้ที่รูปพื้นหลัง

จากนั้นกดรูปถังขยะเพื่อลบรูปทิ้ง แล้วไปที่เมนู Color แล้วเลือกสีที่ต้องการให้เป็นสีพื้นหลังตามชอบ

6 วิธีเปลี่ยนสีพื้นหลังบนเว็บ

การลบสิ่งที่ไม่ต้องการทิ้ง

ให้คุณกดไปยังตำแหน่งของสิ่งที่คุณไม่ต้องการ จากนั้นจะเจอรูปดินสอสีฟ้าตามภาพให้กดคลิกขวา

7 วิธีลบสิ่งที่ไม่ต้องการออกจากหน้าเว็บ

แล้วกด Delete เพื่อลบทิ้งได้เลย

7.1 กดเลือก delete

หรือหากอยากลบทิ้งทีเดียวหลายๆอันให้กดที่เมนู X ตามภาพ เพื่อลบทุกอย่างในกล่องสีฟ้าทิ้งทั้งหมด

7.2 วิธีลบสิ่งที่ไม่ต้องการในหน้าเว็บทั้งหมดทีเดียว

วิธีเพิ่มสิ่งอื่นๆที่ต้องการลงในหน้าเว็บ

หากคุณไม่ชอบสิ่งที่เทมเพลตมีให้คุณอาจลบมันทิ้งไปบางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ จากนั้นก็เพิ่มสิ่งต่างๆที่คุณต้องการด้วยตัวเอง เช่น รูปภาพ ตัวหนังสือ หัวข้อ ปุ่มกด และอื่นๆอีกมากมาย

ให้คุณไปที่เมนูทางด้านซ้าย เลือกสักอันที่คุณต้องการ เช่น Image (รูปภาพ) จากนั้นลากมันมาวางลงในด้านขวา โดยจะให้มันอยู่บนหรือล่างคุณก็ลากเพื่อกำหนดตำแหน่งมันได้หมดตามชอบ

8 วิธีเพิ่มสิ่งต่างๆลงในหน้าเว็บ

หลังจากปรับแต่งหน้าเว็บเสร็จแล้วให้กด UPDATE

9 กด update เพื่อนำการปรับแต่งไปใช้งานจริง

แล้วกดที่ขีดสามขีดมุมซ้ายบน

10 กดที่ขีดสามขีด

จากนั้นกด View Page เพื่อชมหน้าเว็บของคุณได้เลย

11 กด view page เพื่อชมหน้าเว็บ

แล้วถ้าอยากปรับแต่งหน้าเว็บอื่นล่ะ ?

ก็ทำได้ง่ายๆเพียงกดไปที่หน้าเว็บที่คุณต้องการแก้ไขจากนั้นกด Edit with Elementor

12 วิธีแก้ไขหน้าเว็บอื่น

วิธีเปลี่ยนโลโก้และปรับแต่งเมนู

การเปลี่ยนโลโก้ของเว็บ

1. กดที่เมนู ปรับแต่ง

1 กดที่ปรับแต่ง

2. เอาเมาส์ชี้ที่รูปโลโก้แล้วกดที่รูปดินสอตามภาพ

2 เอาเมาส์ไปชี้ที่โลโก้เว็บ

3. กดที่เมนู เปลี่ยนโลโก้ จากนั้นอัปโหลดภาพ logo ของเว็บตามต้องการได้เลย

3 กดเปลี่ยนรูปโลโก้เว็บ

การเปลี่ยนปรับแต่งเมนูของเว็บ

ให้คุณย้อนกลับไปหน้าแรกก่อน (ทำต่อจากเปลี่ยนโลโก้)

4 ย้อนกลับไปหน้าแก้ไขเว็บ

จากนั้นกด เมนู

แล้วเลือก Main menu

คุณก็จะเจอกับเมนูทั้งหมดของเว็บ

7 แก้ไขเมนูของเว็บได้ตามต้องการ
  • สามารถลากสลับตำแหน่งขึ้นลงเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งว่าจะให้เมนูไหนอยู่ก่อนอยู่หลังได้
  • หากต้องการแก้ไขเมนู เช่น เปลี่ยนข้อความ เปลี่ยนลิงก์ ก็กดคลิกเข้าไปยังเมนูที่จะแก้ไขได้เลย
  • หากจะลบเมนูไหนก็กดเข้าไปยังเมนูที่ต้องการลบแล้วกด ลบออก
  • หากอยากเพิ่มเมนูให้กด เพิ่มรายการ

ขั้นตอนที่ 8

อัปเกรด (Hosting)

อัพเกรด hosting 1

hosting จะให้เราทดลองใช้งานได้ฟรีเพียง 3 วัน แต่ไม่ต้องกังวลให้เรากดอัพเกรดมันก่อนที่จะครบ 3 วันเพื่อให้เว็บของเรายังทำงานต่อไปได้ (เพราะหากไม่มี hosting เว็บของเราก็ล่มและเข้าไปใช้งานไม่ได้)

วิธีการอัพเกรด Hosting

1. กดอัพเกรด hosting

กดไปที่ UPGRADE MY ACCOUNT

21 1

2. กรอกข้อมูลบัตรเครดิต

  • เป็นบัตรเครดิต Visa หรือ Mastercard ก็ได้
  • บัตร ATM ที่มีเครื่องหมาย Visa หรือ Mastercard  ก็ใช้ได้
  • หากไม่มีบัตรสามารถสมัคร Truemoney wallet และ เปิดใช้งานบัตรผ่านแอพได้ (ลองหาวิธีดูใน Google)

Billing Details

  • กรอกที่อยู่เป็นภาษาไทยก็ได้
  • ตรง phone : ใส่ +66 ตามด้วยเบอร์มือถือของเราที่ตัดเลข0ด้านหน้าออก

จากนั้นกด AUTHORIZE

22 1

3. ได้โฮสติ้งฟรีเรียบร้อย

เรียบร้อยกรอกข้อมูลถูกต้องจะเจอหน้าแบบนี้

  • หากท่านใช้บัตรที่ไม่ใช่บัตรเครดิตท่านต้องมีเงินในบัตรอย่างน้อย 1 ดอลลาร์ (31บาท) เพราะระบบจะลองตัดเงินว่าบัตรของท่านใช้งานได้หรือไม่
23 1

ไปที่เมนู Funds ท่านก็จะพบว่าเราได้รับเงินมาใช้งาน hosting ฟรีจำนวน 30 ดอลลาร์เรียบร้อยแล้ว

free hosting 30 dollar

4. หลังจากใช้ฟรีครบ 3 เดือนจะเป็นยังไง

  • หลังจากครบ 3 เดือนท่านจะหมดโปรใช้ฟรีซึ่งต้องเสียค่าโฮสติ้งเงินจำนวน 10 ดอลลาร์ต่อเดือน (310 บาทต่อเดือน) 
  • หากไม่มีเงินให้ระบบตัดเว็บไซต์ของท่านจะถูกลบทิ้งและข้อมูลเว็บไซต์ต่างๆของท่านจะถูกลบทิ้งทำให้ไม่สมารถใช้งานได้อีกต่อไป

สรุป

ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับบทความนี้ ยังมีวิธีการอื่นๆมากมายในการปรับแต่งเว็บขายของออนไลน์ของเราให้ทำงานได้ดีและช่วยให้เราขายสินค้าได้ดีขึ้น รอติดตามเนื้อหาต่างๆกันได้ในเว็บของผมเลยครับ หากสงสัยอะไรก็สามารถทักไลน์มาสอบถามได้นะครับหรือคอมเมนต์ทิ้งไว้ในนี้ก็ได้

อยากอ่านบทความแบบนี้อีกไหม ? เพิ่มเพื่อน LINE เราเลย

เพื่อรับบทความใหม่ๆก่อนใคร หรือถามคำถามที่สงสัย
แชร์
หากชอบบทความนี้ฝากกดแชร์ต่อให้เพื่อนๆได้อ่านด้วยนะครับ
โพสที่เกี่ยวข้อง

การแสดงความเห็นถูกปิด

© 2020 Mustketing All Rights Reserved.